Thailand
Surah อัล-เกาะศ็อศ - Aya count 88
เหล่านี้คือโองการทั้งหลายแห่งคัมภีร์อันชัดแจ้ง
เราจะอ่าน แก่เจ้า บางส่วนแห่งเรื่องราวของมูซาและฟิรเอานด้วยความจริง เพื่อหมู่ชนผู้ศรัทธา
แท้จริงฟิรเอานหยิ่งผยองในแผ่นดิน และทำให้ประชาชนนั้นแตกแยกเป็นกลุ่ม ๆ เขาทำให้ชนกลุ่มหนึ่งในพวกเขาอ่อนแอ โดยฆ่าลูกหลานผู้ชายของพวกเขาและไว้ชีวิตเหล่าสตรีของพวกเขา แท้จริงเขาเป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้บ่อนทำลาย
และเราปรารถนาที่จะให้ความโปรดปรานแก่บรรดาผู้ที่อ่อนแอในแผ่นดิน และเราจะทำให้พวกเขาเป็นหัวหน้า และทำให้พวกเขาเป็นผู้รับมรดา
และเราได้ให้พวกเขาครอบครองในแผ่นดิน และเราจะให้ฟิรเอานและฮามานตลอดจนไพร่พลของเขาทั้งสอง ได้เห็นสิ่งที่พวกเขามีความกลัว
และเราได้ดลใจแก่มารดาของมูซา “จงให้นมแก่เขา เมื่อเจ้ากลัวแทนเขาก็จงโยนเขาลงไปในแม่น้ำ และเจ้าอย่าได้กลัวและอย่าได้เศร้าโศก แท้จริงเราจะให้เขากลับไปหาเจ้า และเราจำทำให้เขาเป็นหนึ่งในบรรดาร่อซูล”
ดังนั้นบริวารของฟิรเอานได้เก็บเขาขึ้นมาเพื่อให้เขากลายเป็นศัตรู และความเศร้าโศกแก่พวกเขา แท้จริงฟิรเอาน และฮามานและไพร่พลของเขาทั้งสองเป็นพวกที่มีความผิด
และภริยาของฟิรเอานกล่าวว่า “(เขาจะเป็นที่) น่าชื่นชมยินดีแก่ดิฉันและแก่ท่าน อย่าฆ่าเขาเลย บางทีเขาจะเป็นประโยชน์แก่เรา หรือเราจะถือเขาเป็นลูก” และพวกเขาหารู้สึกตัวไม่
และจิตใจของมารดาของมูซาได้คลายความวิตกกังวลลง นางเกือบจะเปิดเผยกับเขาหากเรามิได้ทำให้จิตใจของนางมั่นคง เพื่อที่นางจะเป็นหนึ่งในหมู่ผู้ศรัทธา
และนางได้กล่าวแก่พี่สาวของเขา “จงติดตามไปดูเขา” ดังนั้นเธอ (พี่สาวของมูซา) ได้เห็นเขาแต่ไกล โดยที่พวกเขาไม่รู้
และเราได้ห้ามเขาไว้ก่อนแล้วเรื่องแม่นม ดังนั้นเธอ (พี่สาวของมูซา) กล่าวว่า “ฉันจะชี้แนะชาวบ้านให้แก่พวกท่านเอาไหม?เพื่อคุ้มครองเขาแทนพวกท่าน และพวกเขาเป็นผู้ให้คำแนะนำอย่างดี”
ดังนั้น เราจึงให้เขากลับไปหามารดาของเขา เพื่อที่จะเป็นที่น่าชื่นชมยินดีแก่นางและนางจะไม่เศร้าโศก และเพื่อนางจะได้รู้ว่า แท้จริงสัญญาของอัลลอฮ์นั้นเป็นจริง แต่ส่วนมากพวกเขาไม่รู้
และเมื่อเขาบรรลุความเป็นหนุ่มและเติบโตเต็มที่แล้ว เราได้ให้ความเข้าใจ และความรู้แก่เขา และเช่นนั้นแหละ เราจะตอบแทนแก่บรรดาผู้กระทำความดี
และเขา (มูซา) ได้เข้าไปในเมือง ขณะที่ชาวเมืองกำลังพักผ่อน เขาได้เห็นชายสองคนต่อสู้กันอยู่ในนั้น คนหนึ่งมาจากพวกพ้องของเขา และอีกคนหนึ่งมาจากฝ่าย (ที่เป็น) ศัตรูของเขา ดังนั้น คนที่มาจากพวกพ้องของเขาได้ร้องขอความช่วยเหลือ เพื่อให้ปราบฝ่ายที่เป็นศัตรูของเขา มูซาได้ต่อยเขาแล้วได้ฆ่าเขา เขากล่าวว่า “นี่มันเป็นการกระทำของชัยฏอน แท้จริงมันเป็นศัตรูที่ทำให้หลงผิดอย่างแจ้งชัด”
เขากล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริงข้าพระองค์ได้อธรรมต่อตนเอง ดังนั้นขอพระองค์ทรงอภัยให้แก่ข้าพระองค์ด้วย ” แล้วพระองค์ก็ได้อภัยให้เขา แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ
เขาได้กล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ การที่พระองค์ได้ทรงโปรดปรานแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะไม่เป็นผู้สนับสนุนผู้กระทำผิดอีกต่อไป”
เมื่อเข้ามาอยู่ในเมือง เขากลัวว่าจะเกิดภัยแก่เขา ขณะนั้นผู้ที่เคยขอร้องเขาให้ช่วยเหลือเมื่อวานนี้ กำลังร้องเรียกให้ช่วยเขาอีก มูซาจึงพูดกับเขาว่า “แท้จริงเจ้านั้นเป็นผู้หลงผิดอย่างแน่นอน”
เมื่อเขาต้องการที่จะปราบผู้ที่เป็นศัตรูกับเขาทั้งสอง เขากล่าวว่า “โอ้มูซาเอ๋ย ! ท่านต้องการที่จะฆ่าฉันดั่งที่ท่านได้ฆ่าคนหนึ่งไปแล้วเมื่อวานนี้หรือ ? ท่านไม่ปรารถนาสิ่งใดนอกจากเป็นผู้ก่อกวนทารุณในแผ่นดิน และท่านไม่ปรารถนาที่จะเป็นผู้ปรองดองให้ดีต่อกัน”
และชายคนหนึ่ง ได้มาจากชานเมืองอย่างรีบเร่ง เขากล่าวว่า “โอ้มูซาเอ๋ย ! พวกขุนนางชั้นผู้ใหญ่กำลังปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับเรื่องของท่าน เพื่อจะฆ่าท่าน ดังนั้น จงออกไปเถิด แท้จริงฉันเป็นผู้หวังดีต่อท่าน”
ดังนั้น เขาจึงออกจากเมืองนั้นในสภาพหวาดกลัวว่าจะเกิดภัย เขากล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ โปรดช่วยข้าพระองค์ให้รอดพ้นจากหมู่ผู้อธรรม”
และเมื่อเขามุ่งหน้าไปยัง (เมือง) มัดยัน เขากล่าวว่า “หวังว่าพระเจ้าของฉันจะทรงชี้แนะแก่ฉันสู่ทางอันเที่ยงตรง”
และเมื่อเขามาพบบ่อน้ำแห่ง (เมือง) มัดยัน เขาได้พบฝูงชนกลุ่มหนึ่งกำลังตักน้ำ และนอกจากพวกเขาเหล่านั้น เขายังได้พบหญิงสองคนคอยห้าม (ฝูงแกะ) เขา (มูซา) กล่าวถามว่า “เรื่องราวของเธอทั้งสองเป็นมาอย่างไร ?” นางทั้งสองกล่าวว่า “เราไม่สามารถตักน้ำได้ จนกว่าคนเลี้ยงแกะเล่านั้นจะถอยออกไป และบิดาของเราก็เป็นคนแก่มากแล้ว”
ดังนั้น เขาจึงตักน้ำให้แก่นางทั้งสองแล้วก็กลับไปพักใต้ร่ม และกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริงข้าพระองค์อยากได้ในความดีที่พระองค์ทรงประทานลงมาให้แก่ข้าพระองค์”
นางคนหนึ่งในสองคนได้มาหาเขา เดินมาอย่างขวยเขิน แล้วกล่าวขึ้นว่า “คุณพ่อของดิฉันขอเชิญท่านไป เพื่อจะตอบแทนค่าแรงแก่ท่านที่ได้ช่วยตักน้ำให้เรา” ครั้นเมื่อเขา (มูซา) ได้มาหาเขา (นะบีชุไอบฺ) และได้เล่าเรื่องราวแก่เขา เขากล่าวว่า “ท่านไม่ต้องกลัว ท่านได้หนีพ้นจากหมู่ชนผู้อธรรมแล้ว”
นางคนหนึ่งในสองคนกล่าวว่า “โอ้คุณพ่อจ๋า! จ้างเขาไว้ซิ แท้จริงคนดีที่ท่านควรจะจ้างเขาไว้คือ ผู้ที่แข็งแรง ผู้ที่ซื่อสัตว์”
เขา (ชุไอบ) กล่าวว่า “แท้จริง ฉันต้องการที่จะให้ท่านสมรสกับลูกสาวคนหนึ่งในสองคนนี้ โดยท่านจะต้องทำงานให้ฉัน 8 ปี และถ้าท่านทำได้ครบ 10 ปี ก็เป็นความดีที่มาจากท่าน ฉันไม่ต้องการที่จะทำความลำบากให้ท่าน อินชาอัลลอฮ์ ท่านจะพบฉันอยู่ในหมู่คนดี”
เขา (มูซา) กล่าวว่า “นั่นคือ (ข้อสัญญา) ระหว่างฉันกับท่าน ฉันจะปฏิบัติให้ครบหนึ่งในกำหนดทั้งสอง จะไม่เกิดโทษแก่ฉัน และอัลลอฮฺทรงเป็นพยานต่อสิ่งที่เรากล่าวเป็นสัญญา”
ครั้นเมื่อมูซาปฏิบัติครบกำหนดแล้ว และได้เดินทางไปพร้อมกับครอบครัวของเขา เขาได้มองเห็นไฟลุกอยู่ข้างภูเขาฏูร เขาจึงพูดกับครอบครัวของเขาว่า "จงอยู่ที่นี่ก่อน แท้จริงฉันเห็นไฟ"
เมื่อเขาได้มาที่มัน (ไฟ) ได้มีเสียงเรียกจากริมที่ลุ่มทางด้านขวา ในสถานที่ที่มีความจำเริญ ณ ที่ต้นไม้ ว่า “โอ้มูซาเอ๋ย ! แท้จริงข้าคืออัลลอฮ์พระเจ้าแห่งสากลโลก
และจงโยนไม้เท้าของเจ้า” เมื่อเขาเห็นมันเคลื่อนไหวคล้ายกับงู เขาก็ผินหลังกลับและไม่กลับมามองอีก “โอ้มูซาเอ๋ย !จงเข้าไปใกล้เถิดและอย่าหวาดกลัว แท้จริงเจ้าอยู่ในหมู่ผู้ปลอดภัย”
จงสอดมือของเจ้าเข้าไปในอกเสื้อของเจ้า มันจะออกมาขาว ปราศจากอันตรายใด ๆ และจงเอามือแนบตัวเจ้าไว้เพื่อให้คลายความตกใจ ดังนั้นนั่นคือหลักฐานทั้งสอง จากพระเจ้าของเจ้าไปยังฟิรเอานและบุคคลชั้นหัวหน้าของเขา แท้จริงพวกเขาเป็นหมู่ชนผู้ฝ่าฝืน”
เขา (มูซา) กล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์แท้จริงข้าพระองค์ได้ฆ่าคนหนึ่งจากพวกเขา ดังนั้นข้าพระองค์กลัวว่าพวกเขาจะฆ่าข้าพระองค์
และพี่ชายของข้าพระองค์คือฮารูน เขาพูดจาคล่องแคล่วกว่าข้าพระองค์ ดังนั้น ขอได้โปรดส่งเขาเป็นผู้ช่วยร่วมกับข้าพระองค์ด้วยเถิด เพื่อเขาจะได้ยืนยันให้แก่ข้าพระองค์ แท้จริงข้าพระองค์กลัวว่าพวกเขาจะปฏิเสธข้าพระองค์”
พระองค์ตรัสว่า “เราจะให้เจ้ามีความเข้มแข็งด้วยพี่ชายของเจ้า และเราจะให้เจ้าทั้งสองมีอำนาจ ดังนั้นพวกเขาจะเข้าไม่ถึงเจ้าทั้งสองดอกเพราะสัญญาณต่าง ๆ ของเรา เจ้าทั้งสองและผู้ตามเจ้าทั้งสองเป็นผู้ชนะ”
ดังนั้น เมื่อมูซาได้มาหาพวกเขาพร้อมด้วยสัญญาณทั้งหลายอันชัดแจ้งของเรา พวกเขากล่าวว่า “มันมิใช่อะไรอื่น นอกจากเวทมนตร์ที่ถูกกุขึ้น และเราไม่เคยได้ยินข้อกล่าวอ้างเช่นนี้ในสมัยบรรพบุรุษของเราแต่กาลก่อนเลย”
และมูซากล่าวว่า “พระเจ้าของฉันทรงรู้ดียิ่งถึงผู้ที่นำเอาแนวทางที่ถูกต้องมาจากพระองค์และผู้ที่บั้นปลายแห่งที่พำนักจะเป็นของเขา แท้จริงพวกอธรรมนั้นจะไม่ประสบความเจริญ”
และฟิรเอานกล่าวว่า “โอ้ปวงบริพารเอ๋ย! ฉันไม่เคยรู้จักพระเจ้าอื่นใดของพวกท่านนอกจากฉัน โอ้ฮามานเอ๋ย ! จงเผาดินให้ฉันด้วยแล้วสร้างโครงสูงระฟ้า เพื่อที่ฉันจะได้ขึ้นไปดูพระเจ้าของมูซา และแท้จริงฉันคิดว่า เขานั้นอยู่ในหมู่ผู้กล่าวเท็จ”
และเขา (ฟิรเอาน) และไพร่พลของเขาได้หยิ่งผยอง ในแผ่นดินโดยอธรรม และพวกเขาคิดว่า แท้จริงพวกเขานั้นจะไม่ถูกนำกลับไปยังเรา
ดังนั้น เราได้ลงโทษเขาและไพร่พลของเขาเราได้โยนพวกเขาลงไปในทะแล แล้วจงพิจารณาเถิด บั้นปลายของพวกอธรรมเป็นเช่นไร
และเราได้ทำให้พวกเขาเป็นหัวหน้า เรียกร้องไปสู่นรกญะฮันนัม และในวันกิยามะฮ์ พวกเขาจะไม่ได้รับความช่วยเหลือ
และเราได้ให้การสาปแช่งตามติดพวกเขาในโลกนี้ และในวันกิยามะฮ์พวกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ถูกขับไล่ออกจากความเมตตา
และโดยแน่นอนเราได้ประทานคัมภีร์แก่มูซา หลังจากที่เราได้ทำลายชนชาติในรุ่นก่อน ๆ เพื่อให้เป็นที่ประจักษ์แจ้งแก่ปวงมนุษย์ และเป็นแนวทางที่ถูกต้อง และเป็นความเมตตา หวังว่าพวกเขาจะได้พิจารณาใคร่ครวญ
และเจ้า (มุฮัมมัด) มิได้ปรากฏอยู่ทางด้านข้างทิศตะวันตก เมื่อเราได้กำหนดกิจการแก่มูซา และเจ้ามิได้ปรากฏอยู่ในหมู่ผู้ร่วมเป็นพยาน
และแต่ทว่าเราได้บังเกิดอีกหลายศตวรรษ แล้วการมีชีวิตอยู่ก็ยืนยาวแก่พวกเเขา และเจ้ามิได้ปรากฏอยู่ร่วมกับกลุ่มชนมัดยัน เพื่อสาธยายโองการทั้งหลายของเราแก่พวกเขา แต่ว่าแท้จริงเราเป็นผู้ส่ง (เจ้ามา)
และเจ้า (มุฮัมมัด) มิได้ปรากฏอยู่ทางด้านข้างของภูเขาฎูร เมื่อเราได้ร้องเรียก แต่มันเป็นความเมตตาจากพระเจ้าของเจ้าเพื่อเจ้าจักได้ตักเตือนกลุ่มชนหนึ่ง ที่มิได้มีผู้ตักเตือนคนใดมายังพวกเขาก่อนหน้าเจ้า หวังว่าพวกเขาจะได้ใคร่ครวญ
และหากมิใช่เคราะห์กรรมหนึ่งประสบแก่พวกเขา เนื่องด้วยน้ำมือของพวกเขาที่ได้กระทำไว้ก่อน แล้วพวกเขาก็จะพูดขึ้นว่า“ข้าแต่พระเจ้าของเรา เหตุใดพระองค์จึงไม่ส่งร่อซูลคนหนึ่งมายังพวกเรา เพื่อจะได้ปฏิบัติตามโองการทั้งกลายของพระองค์ท่านและเราจะได้อยู่ในหมู่ผู้ศรัทธา”
ครั้นเมื่อสัจธรรมจากเราได้มายังพวกเขา พวกเขากล่าวว่า “ทำไมเขา (มุฮัมมัด) จึงมิได้รับเยี่ยงกับที่มูซาได้รับเล่า ?” ก็พวกเขามิได้ปฏิเสธสิ่งที่ถูกประทานให้แก่มูซามาก่อนดอกหรือ ? พวกเขากล่าวว่า “ทั้งสองคือเวทมนตร์ที่สนับสนุนซึ่งกันและกัน” และว่า “เราเป็นผู้ปฏิเสธทั้งสิ้น”
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) “ดังนั้น พวกท่านจงนำคัมภีร์สักเล่มหนึ่งจากอัลลอฮ์ ที่ถูกต้องเหมาะสมยิ่งกว่าทั้งสอง เพื่อฉันจะได้ปฏิบัติตามมัน หากพวกท่านเป็นผู้สัตว์จริง”
หากพวกเขาไม่ยอมสนองตอบเจ้า ก็พึงรู้เถิดว่า แท้จริงพวกเขาปฏิบัติตามอารมณ์ต่ำของพวกเขาเท่านั้น และผู้ใดเล่าจะหลงผิดยิ่งไปกว่าผู้ปฏิบัติตามอารมณ์ต่ำของเขา โดยปราศจากแนวทางที่ถูกต้องจากอัลลอฮ์ แท้จริงอัลลอฮ์จะไม่ทรงชี้แนะทางที่ถูกต้องแก่กลุ่มชนผู้อธรรม
และโดยแน่นอน เราได้ให้พระดำรัส (อัลกุรอาน) สืบต่อเนื่องกันแก่พวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้ใคร่ครวญ
บรรดาผู้ที่เราประทานคัมภีร์แก่พวกเขามาก่อนมัน (อัลกุรอาน) พวกเขาศรัทธาในมัน (อัลกุรอาน)
และเมื่อ (อัลกุรอาน) ได้ถูกอ่านแก่พวกเขา พวกเขากล่าวว่า “เราศรัทธาในมัน แท้จริงมันคือสัจธรรมมาจากพระเจ้าของเรา แท้จริงเราเป็นผู้นอบน้อมมาก่อนนี้”
ชนเหล่านั้นจะได้รับรางวัลของพวกเขาสองครั้ง เนื่องจากเขาได้อดทน และพวกเขาป้องกันความชั่วด้วยความดี และพวกเขาบริจาคสิ่งที่เราได้ให้เป็นเครื่องยังชีพแก่พวกเขา
และเมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องไร้สาระ พวกเขาก็ผินหลังออกห้างไปจากมัน และกล่าวว่า “การงานของเราก็จะได้แก่เรา และการงานของพวกท่านก็จะได้แก่พวกท่าน ศานติแด่พวกท่าน เราจะไม่ขอร่วมกับพวกงมงาย”
แท้จริง เจ้าไม่สามารถที่จะชี้แนะทางที่ถูกต้องแก่ผู้ที่เจ้ารักได้ แต่อัลลอฮ์ทรงชี้แนะทางที่ถูกต้องแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และพระองค์ทรงรู้ดียิ่งถึงผู้ที่อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง
และพวกเขากล่าวว่า “หากเราปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้องร่วมกับท่าน พวกเราจะถูกฉุดกระชากออกจากแผ่นดินของเรา” และเรามิได้ตั้งหลักแหล่งแก่พวกเขาในเขตหวงห้ามอันปลอดภัยดอกหรือ? ซึ่งผลไม้ทุกชนิดถูกนำมายังที่นั้น เป็นเครื่องยังชีพที่มาจากเรา แต่ส่วนมากของพวกเขาไม่รู้
และกี่มากน้อยแล้วที่เราได้ทำลายเมืองซึ่งผยองลำพองในความเป็นอยู่ของมัน ดังนั้นนั่นคือที่พำนักของพวกเขา จะไม่มีใครพักอยู่หลังจากพวกเขาเว้นแต่เพียงเล็กน้อย และเราเป็นผู้รับทายาท
และพระเจ้าของเจ้ามิได้เป็นผู้ทำลายเมืองทั้งหลาย จนกว่าพระองค์จะทรงแต่งตั้งร่อซูลขึ้นในเมืองหลวงนั้น โดยสาธยายโองการทั้งหลายของเราแก่พวกเขา และเรามิได้เป็นผู้ทำลายเมืองทั้งหลาย เว้นแต่ชาวเมืองนั้นเป็นผู้อธรรม
และสิ่งใดที่พวกเจ้ามิได้รับนั้น มันเป็นเพียงปัจจัยแห่งชีวิตของโลกนี้ และเป็นเครื่องประดับของมัน แต่ที่อัลลอฮ์นั้นดีกว่าและจีรังกว่า พวกเจ้าไม่ใช้ปัญญาใคร่ครวญดอกหรือ ?
ดังนั้นผู้ใดที่เราได้ให้สัญญาแก่เขาซึ่งเป็นสัญญาอันดีงาม เขาก็จะเป็นผู้พบมัน จะเหมือนกับผู้ที่เราได้ให้ปัจจัยแก่เขาซึ่งปัจจัยแห่งชีวิตของโลกนี้ แล้วในวันกิยามะฮฺเขาจะเป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้ถูกนำมาอยู่ต่อหน้ากระนั้นหรือ ?
และ (จงรำลึกถึง) วันที่พระองค์ทรงเรียกพวกเขาแล้วตรัสว่า “ไหนเล่าเหล่าภาคีของข้าที่พวกเจ้ากล่าวอ้าง”
บรรดาผู้ที่พระดำรัสคู่ควรแก่พวกเขา กล่าวว่า “ข้าแต่พระเข้าของเรา เหล่านี้คือบรรดาผู้ที่เราทำให้หลงผิด เราได้ทำให้พวกเขาหลงผิดเช่นเดียวกับที่เราได้หลงผิดเอง เราขอปลีกตัวออกแด่พระองค์ และพวกเขามิได้เคารพภักดีต่อเราจริง ๆ ดอก”
และจะมีเสียงกล่าวว่า “จงเรียกร้องภาคีของพวกเจ้า” พวกเขาก็ร้องเรียกพวกมัน แต่พวกมันไม่ขารับพวกเขา และเมื่อพวกเขาได้เห็นการลงโทษ พวกเขาก็คาดหวังว่าหากพวกเขาได้อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง
และวันที่พระองค์ทรงเรียกพวกเขาแล้วตรัสว่า “พวกเจ้าโต้ตอบแก่บรรดาร่อซูลว่าอย่างไร ?”
ดังนั้น ข้อแก้ตัวได้ทำให้พวกเขามืดมนในวันนั้น ฉะนั้น พวกเขาจึงไม่ไต่ถามซึ่งกันและกัน
ส่วนผู้ลุแก่โทษ และศรัทธา และประกอบความดี บางทีเขาจะอยู่ในหมู่ผู้บรรลุความสำเร็จ
และพระเจ้าของเจ้าทรงสร้างสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์และทรงเลือก สำหรับพวกเขาไม่มีสิทธิ์ในการเลือก มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่อัลลอฮ์ และพระองค์ทรงสูงส่งจากสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคี
และพระเจ้าของเจ้านั้น ทรงรอบรู้สิ่งที่หัวอกของพวกเขาปกปิดอยู่ และสิ่งที่พวกเขาเปิดเผย
และพระองค์คืออัลลอฮ์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ สำหรับพระองค์เท่านั้นบรรดาการสรรเสริญในโลกหน้า และการชี้ขาดนั้นเป็นสิทธิของพระองค์เท่านั้น และยังพระองค์เท่านั้นพวกเจ้าจะถูกนำกลับ
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พวกท่านเห็นแล้วมิใช่หรือ หากอัลลอฮ์ทรงทำให้กลางคือมีอยู่ตลอดไปแก่พวกท่านจนถึงวันกิยามะฮ์ พระเจ้าองค์ใดเล่าอื่นจากอัลลอฮ์ที่จะนำแสงสว่าง มาให้แก่พวกท่าน พวกท่านไม่รับฟังบ้างหรือ ?
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พวกท่านเห็นแล้วมิใช่หรือ หากอัลลอฮ์ทรงทำให้กลางวันมีอยู่ตลอดไปแก่พวกท่านจนถึงวันกิยามะฮ์พระเจ้าองค์ใดเล่าอื่นจากอัลลอฮ์ ที่จะนำกลางคืนมาให้พวกท่าน เพื่อพวกท่านจะได้พักผ่อนในเวลานั้น พวกท่านไม่พิจารณาไตร่ตรองดูบ้างหรือ ?
และเพราะความเมตตาของพระองค์ พระองค์ทรงทำให้มีกลางคืนและกลางวัน เพื่อพวกเจ้าจะได้พักผ่อนในเวลานั้น และเพื่อพวกเจ้าจะได้แสวงหาจากความโปรดปรานของพระองค์ และเพื่อพวกเจ้าจะได้ขอบคุณ
และ (จงรำลึกถึง) วันที่พระองค์ทรงเรียกพวกเขาแล้วตรัสว่า “ไหนเล่าเหล่าภาคีของข้า ที่พวกเจ้ากล่าวอ้าง”
และเราได้เอาพยานออกมาจากทุก ๆ ประชาชาติ แล้วเราได้กล่าวว่า “จงนำหลักฐานของพวกเจ้ามา” ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่า แท้จริงสัจธรรมนั้นเป็นของอัลลอฮ์ และสิ่งที่พวกเขาได้กุขึ้นนั้นได้สูญหายไปจากพวกเขา
แท้จริงกอรูนมาจากพวกพ้องของมูซา เขาได้กดขี่ต่อพวกเขา และเราได้ประทานทรัพย์สมบัติมากมาบแก่เขา จนกระทั่งลูกกุญแจทั้งหลายของมันนั้น เมื่อคนแข็งแรงกลุ่มหนึ่งยกแบกด้วยความยากลำบาก เมื่อพวกพ้องของเขากล่าวแก่เขาว่า”อย่าได้หยิ่งผยอง เพราะแท้จริงอัลลอฮไม่ทรงโปรดบรรดาผู้หยิ่งผยอง”
และจงแสวงหาสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ประทานแก่เจ้าเพื่อปรโลก และอย่าลืมส่วนของเจ้าแห่งโลกนี้ และจงทำความดี เสมือนกับที่อัลลอฮ์ได้ทรงทำความดีแก่เจ้า และอย่าแสวงหาความเสียหายในแผ่นดิน แท้จริง อัลลอฮ์ไม่ทรงโปรดบรรดาผู้บ่อนทำลาย
เขา (กอรูน) กล่าวว่า “ฉันได้รับมันเพราะความรู้ของฉัน” ก็เขา (กอรูน) ไม่รู้ดอกหรือว่า แน่นอน อัลลอฮ์ได้ทรงทำลายผู้ที่มีพลังยิ่งกว่าและมีพรรคพวกมากกว่า ก่อนหน้าเขาในศตวรรษก่อน ๆ และบรรดาผู้กระทำความผิดจะไม่ถูกสอบถามเกี่ยวกับความผิดต่าง ๆ ของพวกเขาดอกหรือ ?
ดังนั้น เขาได้ออกไปหาพวกพ้องของเขาด้วยเครื่องประดับอย่างโอ่งอ่างของเขา บรรดาผู้ปรารถนาชีวิตแห่งโลกนี้ กล่าวว่า “โอ้ หากเราไม่มีเช่นที่กอรูนได้ถูกประทานมา แท้จริงเขาเป็นผู้มีโชควาสนายิ่งใหญ่จริง ๆ”
และบรรดาผู้ได้รับความรู้ กล่าวว่า “ความวิบัติแด่พวกท่าน ! ผลบุญแห่งอัลลอฮ์นั้นดีกว่าแก่ผู้ศรัทธาและกระทำความดีและไม่มีผู้ใดได้รับมันนอกจากบรรดาผู้อดทนเท่านั้น”
ดังนั้น เราจึงให้ธรณีสูบเขาและเคหะสถานของเขา สำหรับเขาไม่มีผู้ใดจะช่วยเหลือเขาได้นอกจากอัลลอฮ์ และเขาก็มิใช่เป็นผู้ช่วยเหลือตนเองได้
และบรรดาผู้อยากมีฐานะเยี่ยงเขาเมื่อวานนี้ จะกล่าวในวันพรุ่งนี้ว่า “พึงทราบเถิด! เป็นที่แน่นอนว่าอัลลอฮฺนั้นทรงให้กว้างขวางและทรงให้คับแคบซึ่งเครื่องยังชีพแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากปวงบ่าวของพระองค์ หากมิใช่อัลลอฮฺทรงโปรดปรานแก่เรา แน่นอนพระองค์ก็จะทรงให้ (ธรณี) สูบเราลงไป พึงทราบเถิด! แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะไม่ประสบชัยชนะ”
นั่นคือที่พำนักแห่งปรโลก เราได้เตรียมมันไว้สำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปรารถนาหยิ่งผยองในแผ่นดิน และไม่ก่อการเสียหาย และบั้นปลายย่อมเป็นของบรรดาผู้ยำเกรง
ผู้ใดนำเอาความดีมา เขาก็จะได้รับความดียิ่งกว่า และผู้ใดนำความชั่วมา บรรดาผู้กระทำความชั่วทั้งหลายนั้นจะไม่ถูกตอบแทน นอกจากที่พวกเขาได้กระทำไว้
แท้จริง พระผู้ทรงประทานอัลกุรอานให้แก่เจ้า แน่นอน ย่อมทรงนำเจ้ากลับสู่ถิ่นเดิน จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) “พระเจ้าของฉันทรงรู้ดียิ่งกว่า ผู้ใดอยู่ในแนวทางที่ถูกต้องและผู้ใดอยู่ในการหลงผิดที่ชัดแจ้ง”
และเจ้ามิได้หวังมาก่อนเลยว่า คัมภีร์นี้จะถูกประทานให้แก่เจ้า เว้นแต่ว่ามันเป็นความเมตตาจากพระเจ้าของเจ้า ดังนั้น เจ้าอย่าเป็นผู้สนับสนุนแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเลย
และอย่าให้พวกเขาหันเหเจ้าจากโองการทั้งหลายของอัลลอฮ์ หลังจากที่มันได้ถูกประทานลงมาแก่เจ้า และจงเชิญชวนไปสู่พระเจ้าของเจ้าและอย่าอยู่ในหมู่ผู้ตั้งภาคี
และอย่าวิงวอนขอต่อพระเจ้าอื่นคู่เคียงกับอัลลอฮ์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ทุกสิ่งย่อมพินาศนอกจากพระพักตร์ของพระองค์